เมื่อวันที่ 1 พ.ยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมนวัตกรรม ที่ศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้า KBLC จ.สมุทรปราการ ว่า เคอรี่ฯ มุ่งมั่นพัฒนาระบบการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าทั่วประเทศ จะได้รับประสบการณ์การส่งด่วนที่ดีเยี่ยม รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย ภายใต้แนวคิด Kerry Fast Tech โดยล่าสุด ได้นำนวัตกรรม Smart Sorting และ Digital Mapping ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะที่นำมาช่วยคัดแยก และจัดส่งพัสดุได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
นายวราวุธ กล่าวต่อว่า Smart Sorting เป็นนวัตกรรมที่สามารถคัดแยกพัสดุ เพื่อจำแนก และจัดส่งออกไปตามแต่ละพื้นที่ หรือโซนของที่อยู่ในประเทศได้แม่นยำมากขึ้น โดยสามารถคัดแยกพัสดุได้เร็วกว่าเดิม 3 เท่า และช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) ด้วย ส่วน Digital Mapping จะช่วยประมวลผลที่อยู่ในประเทศไทย ที่มีความลงลึกในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ตรอก ซอก ซอย ฯลฯ โดยมาเป็นหมุดแผนที่ปลายทางได้อย่างชัดเจน และถูกต้อง ช่วยให้พนักงานส่งมอบพัสดุถึงมือลูกค้าได้อย่างฉับไวมากขึ้น ทั้งนี้เริ่มใช้นวัตกรรมดังกล่าวแล้ว ที่ศูนย์คัดแยกฯ บางนาแล้ว เตรียมนำไปติดตั้งที่ศูนย์คัดแยกฯ แห่งอื่นต่อไป ปัจจุบันมีศูนย์คัดแยกฯ ในกรุงเทพฯ 4 แห่ง และต่างจังหวัด 10 แห่ง โดยได้ตั้งงบประมาณกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับการบริการจัดส่งพัสดุด่วน
นายวราวุธ กล่าวอีกว่า นวัตกรรมใหม่นี้ จะเข้ามาช่วยลดปริมาณงาน และระยะเวลาการทำงานของพนักงาน ซึ่งจะช่วยให้ขั้นตอนการคัดแยก และจัดส่งพัสดุรวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น สามารถรองรับจำนวนพัสดุจัดส่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลลดราคาปลายปี และช่วงทำแคมเปญ Double Date อาทิ 11.11 หรือ 12.12 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมีแผนเตรียมนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาบูรณาการเข้ากับระบบการจัดส่งพัสดุด่วน ให้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็น Tech Logistics ในอนาคตอันใกล้อย่างเต็มรูปแบบ
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันเคอรี่ขนส่งพัสดุอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านชิ้นต่อวัน เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งภายใต้บุคลากร และอุปกรณ์เครื่องมือที่มีอยู่ ยังรองรับพัสดุได้ประมาณ 1.9 ล้านชิ้นต่อวัน ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าในขณะนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1.ธุรกิจ-ส่งถึง-บุคคล (B2C) เป็นกลุ่มที่ขายของผ่านแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ อาทิ ลาซาด้า และติ๊กต็อก เป็นต้น ประมาณ 52%, 2. บุคคล-ส่งถึง-บุคคล (C2C) อาทิ กลุ่มที่ไลฟ์ขายของตามสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ประมาณ 45% ตั้งเป้าปีหน้าขยับกลุ่มนี้เพิ่มเป็น 60% และมุ่งสู่กลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งกลุ่มพรีเมียม จะมีค่าขนส่งสูงกว่าปกติประมาณ 3 เท่า โดยในอนาคตก็อาจจะได้เห็นการส่งสินค้าแบรนด์เนม และ 3.ธุรกิจ-ส่งถึง-ธุรกิจ (B2B) ประมาณ 3%
นายวราวุธ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมายอมรับว่า ในกระบวนการทำงาน ยังมีเกิดข้อผิดพลาดบ้าง โดยเฉพาะในกระบวนคัดแยกประมาณ 3-4% ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเยอะ เพราะพัสดุ 1 ล้านชิ้น ก็หมายความว่าจะมีคนไม่ได้รับความพึงพอใจประมาณ 3-4 หมื่นคน ทางเคอรี่จึงต้องพยายามหาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่เกิดข้อผิดพลาดไม่ถึง 1% โดยหากทำได้ ก็จะสามารถกระตุ้นให้ลูกค้ามั่นใจ และมาใช้บริการเคอรี่มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริการรับส่งสินค้าแบบ Door to Door เข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน เริ่มเป็นที่นิยมของลูกค้ามากขึ้น ดังนั้น จึงทำให้ช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับพัสดุ อาทิ การปรับขนาดของร้าน และการปิดร้านค้าของเคอรี่ลง จากเดิมประมาณ 1,500 ร้านทั่วประเทศ เหลือประมาณ 1,100 ร้าน แต่ทั้งนี้ ก็มีแผนเปิดร้านในบางพื้นที่ที่ร้านเคอรี่ยังเข้าไม่ถึงด้วย
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า เคอรี่มีจุดรับส่งพัสดุประมาณ5หมื่นจุดทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งร้านพาร์ทเนอร์ และร้านของเคอรี่เอง ซึ่งในส่วนของร้านเคอรี่ แต่ละร้านมีต้นทุนสูง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน ขณะที่ปัจจุบันหลังเกิดโควิด-19พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปเดินเข้าร้านน้อยลง และมีโอกาสที่ลูกค้าอาจไม่เข้ามาใช้บริการ อีกทั้งยิ่งเมื่อมีบริการรับพัสดุถึงหน้าบ้าน ทำให้ลูกค้าสะดวกขึ้น ส่งพัสดุได้ง่ายขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายของลูกค้าเท่าเดิม จึงทำให้บางร้านอาจไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ซึ่งก็จะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลงด้วย โดยเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการเปิดร้าน กับการให้พนักงานที่ส่งพัสดุ รับพัสดุกลับมาด้วย ช่วยลดต้นทุนได้มาก.คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง